วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Chapter 9 อดีตที่เจ็บปวด

Chapter 9 อดีตที่เจ็บปวด



   “เป็นของกูนะไวท์เสียงกระซิบพร้อมกับริมฝีปากเย็นๆที่ไล่งับจากหลังคอมาจนถึงหน้าอก ก่อนที่สายตาจะเลื่อนมาประสานกันอีกครั้ง


   “กะ...กูว่าอย่าเพิ่งเหอะผมกำเสื้อไอ้พอร์ชแน่นก่อนจะผลักอกมันเต็มแรงเพื่อให้เจ้าตัวลุกขึ้น แต่ไม่รู้ตัวมันหนาหรือผมผลักเบาไปกลายเป็นว่าไอ้พอร์ชนอนทับตัวผมมากกว่าเดิม


   “เชี่ยพอร์ชกูหนัก


   “หนัก


   “กูสิหนัก มึงจะมาหนักอะไรกับกูเล่า อ๊ะเสียงครางหลุดออกจากผมปากทันทีที่ไอ้พอร์ชเริ่มปฏิบัติการใต้ร่มผ้า มันสอดมือเข้าไปในเสื้อ แกล้งลากเบาๆผ่านยอดอกไล่ลงมายังหน้าท้อง และกำลังจะมุดเข้ากางเกงขาสั้นของผม


   “เชี่ยพอร์ช...ผมรู้สึกว่าครั้งนี้มันไม่ใช่ครั้งที่ปกติเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นปกติผมคงให้มันเลยตามเลยช่วยกันเหมือนอย่างที่แล้วๆ แต่จะพูดยังไงดีล่ะเมื่อกี้ไอ้คนตรงหน้าเพิ่งพูดเหมือนจะเอาผมอยู่เลย หรือผมเข้าใจผิดว่ะบางทีความหมายของคำว่าเป็นของกูเถอะนะอาจจะเป็นความหมายอื่น


   “ไวท์...เอากันเถอะพ่องงงงง เมื่อกี้กูเพิ่งคิดเข้าข้างมึงอยู่เลยนะเชี่ยพอร์ช พอได้ยินอย่างนี้ผมล่ะอยากเอาโคมไฟทุ่มใส่หัวมันจริงๆ


   “ลุกเลย


   “ไวท์...


   “พอร์ช มึงไม่ควรทำแบบนี้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอว่ะอย่าทำเหมือนกูเป็นตัวอะไรสักอย่างเลยพอร์ชแค่นี้มึงก็กักขังกูไว้กับมึงมากเกินไปแล้ว ปล่อยกูไปเถอะ


   “ไม่ใช่ มึงไม่ใช่เพื่อน มึงบอกเองว่ากูไม่ใช่เพื่อนมึง


   “โอเค งั้นมึงเป็นเพื่อนกู พอใจยัง???” ผมเลิกคิ้วถามมันพร้อมกับหยิกแก้มกลมๆทั้งสองข้างของมันแรงๆ เวลาไอ้พอร์ชทำหน้าหงอยเหมือนหมาแบบนี้ก็ตลกดีเหมือนกัน ลุก!!! กูหนัก ตัวอย่างควายเลยมึงอ่ะ


   “กูไม่อยากได้แค่เพื่อนธรรมดาแล้ว กูอยากได้มากกว่านี้มันพูดเสร็จก็หันมางับมือผมก่อนจะเริ่มส่งสายตาหื่นกามพร้อมกับริมฝีปากที่แนบลงมาประกบตรงปากผมอีกรอบ ครั้งนี้อาจจะไม่อ่อนหวานเหมือนครั้งแรกแต่มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและแรงปรารถนา ผมเผลอยกมือขึ้นกอดคอมันและอ้าปากรับลิ้นที่ไอ้พอร์ชมันดุนเข้ามาในปาก


   “อึก อื้อศีลธรรมแล้วความเป็นเพื่อนหายไปทันทีที่คนตรงหน้าเริ่มถอดเสื้อผมออก ดูจากสีหน้าและท่าทางแล้วไอ้พอร์ชไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ


   “อย่านะมึง กูว่ามันเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนแล้วแบบนี้อ่ะ


   “กูบอกแล้วไงว่ากูอยากได้มากกว่านั้น


   “ถ้างั้น กูถามอะไรมึงอย่างดิ


   “เออ ถามมา


   “กูกับหลิวใครสำคัญกว่ากันผมกลั้นใจถามสิ่งที่แม้ว่ามันจะทำร้ายผมในอนาคตแต่ผมก็อยากรู้ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นไงสุดท้ายวันนี้ผมจะเป็นของมันแน่นอน


   “.....” ไอ้พอร์ชไม่ตอบผมก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันหมายความว่ายังไง เห้อช่างมันเถอะผมไม่ได้คาดหวังกับคำตอบมันไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปปิดไฟแล้วถอดกางเกงตัวเองออก 


   “คำถามกูยากเกินไปอ่ะดิ ช่างมันเถอะเรามาทำกันดีกว่า


   “แต่...


   “จะแต่เชี่ยอะไรอีก มึงก็รู้ว่าเพื่อนอย่างกูให้มึงได้ทุกอย่างแหละพอร์ช 


แต่ครั้งนี้มึงได้กูแล้วก็เลิกเป็นเพื่อนกับกูเถอะนะ ประโยคหลังผมไม่ได้พูดออกไปแต่ตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ อีกไม่นานผมก็จะไปจากชีวิตมันจริงๆแล้ว ผมรู้มาคร่าวๆว่าพ่อจะย้ายขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ถาวรแต่ยังไม่แน่ใจเรื่องบ้านที่กรุงเทพว่าจะปล่อยไว้ให้ผมเผื่อผมสอบติดโควต้าหรือจะขายทิ้งไปเลยดี ตอนนี้ผมว่าผมตัดสินใจแทนพ่อได้แล้วล่ะ


ผมเดินมานั่งตักมันพร้อมกับก้มลงไปประกบปากไอ้พอร์ชอีกครั้ง เราจูบกันเนิ่นนานรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่แค่การกระทำของเพื่อนกับเพื่อน บางครั้งผมก็รู้สึกว่าไอ้พอร์ชมันก็ชอบผมอยู่ไม่น้อย แต่ใครจะไปรู้ใจมันได้เท่ากับตัวมันล่ะ


   “อ๊ะ อา พอร์ช เบาๆผมยกมือขึ้นยันหน้าท้องคนตรงหน้าบอกมันให้ค่อยๆแทรกตัวเข้ามาช้าๆ


   “เจ็บหรอ


   “อื้อผมพยักหน้าให้มันนิดๆ ไอ้พอร์ชมันหยุดนิดนึงแต่ก็ลดแรงแล้วค่อยๆดันเข้ามาช้าๆ คำพูดปลอบประโลมกับจูบที่ก้มลงมาสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าทำเอาลืมความเจ็บปวดไปได้ง่ายๆ


   “เหมือนกูกำลังอยู่ในตัวมึงเลยว่ะดูมันพูด นี่เรียกว่าโง่หรืออะไรว่ะ 

   “มึงเข้ามาจนมิดด้ามขนาดนี้ไม่อยู่ในตัวแล้วเข้าเรียกว่าอะไรล่ะไอ้ควาย อ๊ะ อาไอ้พอร์ชเริ่มขยับสะโพกเบาๆตามแรงปรารถนา มันดึงมือผมไปจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง 


   “ไวท์...


   “อ๊ะ อ๊าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของเตียงผสมกับเสียงหอบหายใจของผมกับไอ้พอร์ช ก่อนที่จะถึงปลายสุดของเส้นทางผมอยากบอกอะไรบางอย่างที่ผมเก็บไว้มานานให้มันรับรู้
   


   “กูรักมึงพอร์ช/มึงเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของกูไวท์ ก่อนที่ไอ้พอร์ชจะล้มตัวลงนอนข้างๆกายผมเราพูดคำสุดท้ายออกมาพร้อมกัน แม้ว่าความหมายเหมือนจะไม่ต่างกันมากแต่มันกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง



   “..........”




   “..........”




   “คือว่ากู....พอร์ชพูดอึกอักพร้อมกับเอื้อมมือมาจับแก้มผมแล้วเช็ดน้ำตาให้ผมเบาๆ มันคงไหลทะลักออกมาพร้อมกับสิ่งที่ผมได้ยินเมื่อกี้



   “ฮึก...มึงไม่ต้องห่วงหรอกพอร์ชถึงกูจะรักมึงมากแค่ไหน ฮึก...แต่กูจะเป็นเพื่อนคนสำคัญสำหรับมึงเหมือนเดิม


   “ไวท์...




   “ขอร้องฮึก..ล่ะ.. อย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้เลย แค่วันนี้นะ แค่วันนี้ที่กูได้เป็นคนรักของมึง กูขอแค่วันเดียวก็ได้...ฮึก..ฮือ




   “ขอโทษนะไวท์ 




   “อื้อ กูเข้าใจ 






ผมตื่นขึ้นมาอีกทีพร้อมกับคนข้างกายที่หายไป ผมรู้ว่ามันคงรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมบอกมันเมื่อคืน แต่ก็ช่างมันเถอะสิ่งที่เสียไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้อยู่ดี ผมพยายามลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำแล้วกลับบ้านไปบอกพ่อและแม่เรื่องย้ายโรงเรียนตามเขาทั้งคู่ไปอยู่เชียงใหม่ ตอนแรกผมกะว่าจะอยู่เรียนที่นี้ให้จบๆแต่สุดท้ายผมก็คงบากหน้าอยู่สู้หน้าไอ้พอร์ชไม่ได้ ย้ายๆไปนั่นแหละดีแล้ว




ยังไงซะ ผมกับมันก็เป็นเพื่อนกันต่อไปไม่ได้อยู่ดี 




ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมทำเรื่องย้ายโรงเรียนและย้ายบ้านไอ้พอร์ชไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้ผมเห็นเลยสักครั้ง มันคงไม่อยากเจอหน้าผม คงคิดเหมือนผมแหละว่าถ้าเจอกันจะปั้นหน้าใส่กันยังไง ก็นะ เป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปีอยู่ๆมาบอกว่าคิดเกินเพื่อนมันก็คงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย 



   “เสร็จยังไวท์ ไม่ลืมอะไรใช่ไหมลูก 



   “ไม่ครับพ่อ คิดว่าไม่ลืมนะผมยิ้มให้พ่อแล้วเข้าไปนั่งในเบาะหลัง ก่อนจะหันไปมองบ้านที่ตอนนี้บริษัทขายบ้านคงขายทอดตลาดให้คนอื่นไปเรียบร้อยแล้วเพราะพ่อได้เงินจากการขายบ้านมาเมื่อวานและทางบริษัทเร่งให้เราออกจากบ้านเพื่อที่เจ้าของบ้านคนใหม่จะได้เข้ามาอยู่ในสัปดาห์หน้า 



   “แล้วไวท์บอกเบอร์ใหม่พอร์ชยัง เบอร์พ่อกับแม่พอร์ชก็ไม่มีนะ



   “บอกแล้วครับผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาไอ้พอร์ช ที่โทรไปไม่ได้อยากบอกมันหรอกครับว่าผมจะไปไหน แต่แค่อยากฟังเสียงมันเป็นครั้งสุดท้าย ผมกดโทรหามันอยู่หลายรอบแต่ก็ยังไม่มีคนรับ บางทีมันอาจจะยุ่งอยู่หรือไม่ก็....





คงไม่อยากรับสายผม





งั้นโทรหาหลิวล่ะกัน



   (ว่าไงไวท์)


   “เสียงสดใสเชียว อยู่ต่างจังหวัดดูมีความสุขใหญ่เลยนะ
   

   (แหงล่ะ อากาศที่นี้ดีจะตาย ว่าแต่ไวท์เถอะมีอะไรหรือเปล่า ปกติไม่เห็นโทรหาหลิว)


   “ไม่มีอะไรโทรมาเฉยๆน่ะ แล้วหลิวได้คุยกับพอร์ชมั้งป่ะ


   (เอ่อ ไม่เลย เราไม่ได้สนิทกับพอร์ชขนาดนั้นสักหน่อย)


   “หลิว ไวท์รู้แล้วนะว่าพอร์ชกับหลิวเป็นแฟนกัน


   (รู้ได้ยังไง!!!)


   “ก็พอร์ชบอก มันเขินใหญ่เลย แถมบอกกับไวท์ด้วยนะว่ารักหลิวมากที่สุด


   (จริงหรอ ปกติพอร์ชมันก็บอกเราบ่อยอยู่นะ แต่พอเห็นมันไปเล่าให้ไวท์ฟังแบบนี้แล้วเรารู้สึกเขินๆยังไงไม่รู้ เออ อีกไม่กี่วันหลิวจะกลับกรุงเทพแล้ว ยังไงเจอกันแล้วค่อยคุยกันต่อนะพอดีพอร์ชโทรมาน่ะ)




   “.....”



   (ฮัลโหลไวท์ ได้ยินไหม)



   “อ้อ อื้ม แล้วเจอกัน ฝากดูแลพอร์ชด้วยนะ




ผมกดวางโทรศัพท์เสร็จก็ถอดซิมออก เบอร์ผมกับเบอร์ไอ้พอร์ชมีเลขตัวท้ายต่างกันแค่ตัวเดียว ไอ้จะทิ้งไปเลยก็เสียดาย แต่ยังไงซะถ้าไม่ได้ใช้นานๆเดี๋ยวมันก็ตัดไปเองอยู่ดี เสียงเพลงคลอเบาๆที่พ่อเปิดในรถไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกเจ็บมันจางหายไปได้เลย



ผมหันไปมองไอ้ดำก่อนจะล้มตัวฟุบหน้าลงกับตุ๊กตาหมาที่ไอ้พอร์ชซื้อให้แล้วค่อยๆหลับตาลงช้าๆ พลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่แรกที่รู้จัก จนถึงวันสุดท้ายที่เห็นหน้า มีใครเคยบอกไว้นะว่ามีอยู่ 3 สิ่งในชีวิตเรา ที่เราไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้ เวลา คำพูด และโอกาส



แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขที่เคยมีร่วมกับไอ้พอร์ชมันก็ไม่สามารถเรียกกับมาชดเชยความเจ็บปวดในใจได้เลยสักนิด





มึงยังอยากอยู่กับกูหรือเปล่าว่ะไอ้ดำ มึงคงไม่ได้รังเกียจกูเหมือนกับไอ้พอร์ชหรอกใช่มั้ย






เพราะตอนนี้







แม้แต่คำว่าเพื่อนเจ้าของมึงเขาก็ไม่อยากให้กูเป็นเลยด้วยซ้ำ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น